โภชนาการมีชีวิต: อาหารที่ไม่เพียงเติมท้อง แต่เติมพลังชีวิต

มากกว่าสารอาหาร คือ "พลังชีวิต"

ในยุคที่ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพ เมื่อพูดถึงการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เราจะนึกถึง โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และการคำณวนแคลอรี่ ให้เพียงพอต่อความต้องการแต่ละวัน

แต่เคยสังเกตไหมว่า แม้จะได้รับสารอาหารเพียงพอ แต่หลายครั้งเรากลับยังรู้สึกเหนื่อย หมดแรง ง่วงนอน ฟุ้งซ่าน นี่คือเรื่องราวของ พลังชีวิตในอาหาร — พลังที่ซ่อนอยู่ในอาหารจากธรรมชาติที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยแคลอรี่แต่ช่วยเติมเต็มได้ทั้งร่างกายและจิตใจ

พลังชีวิตตามความเชื่อโบราณ ชี่จากจีน, ปราณจากอินเดีย

• ชี่ (Chi) ในความเชื่อจีนโบราณ

คือ พลังงานชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในทุกสิ่งในจักรวาล ตามคำกล่าวจากคัมภีร์ หวงตี้เน่ยจิง หรือ คัมภีร์จักรพรรดิเหลือง คัมภีร์ทางการแพทย์ของจีนที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดระบุว่า การรับประทานอาหารที่มีชี่สูง เช่น ผักและผลไม้สด จะช่วยให้พลังชีวิตไหลเวียนอย่างสมดุล ทำให้รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา

• ปราณ (Prana) ในปรัชญาโยคะและอายุรเวท

คือ พลังชีวิตที่เราหายใจเข้าและไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ปตัญชลี (Patanjali) โยคีผู้ก่อตั้งโยคะ ได้เน้นย้ำถึงการรับประทานอาหารที่มีปราณสูง เช่น ผักผลไม้สดและอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะอาหารเหล่านี้จะช่วยเติมพลังให้กับจิตใจ ทำให้ผู้ฝึกโยคะและสมาธิ มีจิตใจสงบ สามารถฝึกสมาธิได้ลึกซึ้งขึ้น

อาหารมีพลังชีวิตคืออะไร ?

อาหารมีพลังชีวิต คือ อาหารที่ยังคงพลังชีวิตจากธรรมชาติ เมื่อรับประทานแล้ว รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ไม่หนัก ไม่เหนื่อยล้า หมดแรง

ตัวอย่างอาหารมีพลังชีวิตสูง

• ผักและผลไม้สด เช่น กล้วย มะละกอ ผักกาด

• ผักและผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น แตงโม สาลี่ แตงกวา

• ต้นอ่อน เช่น ถั่วงอก ต้นอ่อนทานตะวัน

• อาหารหมักดองธรรมชาติ เช่น กิมจิ มิโสะ นัตโตะ คีเฟอร์ โยเกิร์ต

• น้ำมันสกัดเย็น เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์

• เครื่องเทศที่เพิ่มพลังงาน เช่น ขิง ขมิ้น พริกไทยดำ กานพลู

• สมุนไพรต่างประเทศ เช่น โสม เห็ดหลินจือ เก๋ากี้

• สมุนไพรไทย เช่น กะเพรา ใบย่านาง ใบเตย ฟ้าทะลายโจร หญ้าปักกิ่ง ดอกคำฝอย

ทำไมกินอาหารไม่มีชีวิตแล้วเหนื่อย หมดแรง

คัมภีร์จักรพรรดิ์เหลืองระบุว่า กินแล้วหมดแรงมาจาก "การทานอาหารไม่มีพลังชีวิต"

• อาหารไม่มีพลังชีวิต: นอกจากจะไม่เพิ่มพลังชีวิตให้กับร่างกาย ยังดึงพลังชีวิตของเราออกมาใช้ในการย่อย ทำให้เราสูญเสียพลังไปโดยไม่จำเป็น จึงทำให้เกิดความรู้สึก เหนื่อย เพลีย อ่อนล้า ง่วงนอน ในขณะที่อาหารที่มีพลังชีวิตช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานง่าย กระจายพลังงานได้ทั่วร่างกาย จึงเกิดความรู้สึกเบา สบาย

• สอดคล้องกับเรื่องเอนไซม์ในวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน: ที่พบว่าอาหารสดและผ่านการแปรรูปน้อย จะมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยน้อยลง ส่งผลให้รู้สึกเบา มีพลัง แต่อาหารที่ผ่านการแปรรูปมากหรือปรุงด้วยความร้อนสูง จะสูญเสียเอนไซม์ธรรมชาติ ทำให้ร่างกายต้องสร้างเอนไซม์ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ในการย่อย ส่งผลรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรง

คนที่มีพลังชีวิต VS. ไร้พลังชีวิต

ทั้งแนวคิดจีนและอินเดียต่างระบุชัดเจนเหมือนกันว่า เราสามารถสังเกตพลังชีวิตได้จากการแสดงออกทั้งทางร่างกายและจิตใจ :

• ผู้ที่มีพลังชีวิตมาก

จิตใจ: สดชื่น แจ่มใส มั่นคง สงบ รับมือกับความเครียดได้ดี มีเมตตาเพราะเข้าใจตัวเองและสิ่งรอบตัวเป็นอย่างดี

ร่างกาย: ย่อยอาหารได้ดี มีภูมิคุ้มกัน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สุขภาพโดยรวมดี

• ผู้ที่ขาดพลังชีวิต

จิตใจ: วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย ไม่มั่นคงทางอารมณ์ และรับมือกับความเครียดได้ยาก

ร่างกาย: เหนื่อยง่าย หายใจถี่ ผิวซีด ภูมิคุ้มกันต่ำ สุขภาพไม่แข็งแรง

หลี่ ชิง หยวน

ผู้สะสมพลังชีวิตถึง 256 ปี

ในตำรายาจีนโบราณมีตำนานเล่าถึง หลี่ชิงหยวน หมอสมุนไพรและนักศิลปะการต่อสู้ชาวจีนที่มีอายุยืนถึง 256 ปี หลี่ชิงหยวน เน้นการสะสมพลังชีวิต ด้วยการฝึกสมาธิ ศิลปะการต่อสู้ และรับประทานสมุนไพรที่มีพลังชีวิตสูง เช่น โสม โกจิเบอร์รี่ และเห็ดหลินจือ ทำให้เขาไม่เพียงมีอายุยืนยาว แต่ยังคงมีสุขภาพดี มีความสมดุลทั้งร่างกายและจิตวิญญาณอย่างน่าทึ่ง

หลักฐานวิทยาศาสตร์

พลังชีวิตที่มองเห็นได้

• ภาพถ่ายคอร์เลียน (Kirland Photogram)

ภาพถ่ายที่มาจากเทคนิคจับภาพพลังงานไฟฟ้า (หรือ ออร่า) รอบ ๆ วัตถุ เช่น ผักและผลไม้สด ซึ่งมักแสดงให้เห็นถึงออร่าที่สว่างไสวมากกว่าอาหารแปรรูป แม้จะเป็นผักผลไม้เหมือนกัน เช่น แครอทสดจะมีประกายที่สดใสกว่าแครอทปรุงสุก

• ไบโอโฟตอน (Biophoton)

แสงที่ปล่อยออกมาจากเซลล์สิ่งมีชีวิต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีบทบาทในการสื่อสารระหว่างเซลล์และระบบต่าง ๆ ของร่างกาย โดยไบโอโฟตอนเชื่อมโยงกับระดับพลังชีวิตและความมีชีวิตชีวาของเซลล์ การศึกษาจากสถาบันชีวฟิสิกส์มหาวิทยาลัยมาร์บูร์กพบว่า ผักและผลไม้สดปล่อยไบโอโฟตอนในระดับสูง แสดงถึงความสดและพลังชีวิตของอาหาร ในขณะที่อาหารแปรรูปหรืออาหารที่เก็บไว้นานจะมีระดับไบโอโฟตอนต่ำกว่า

ประโยชน์ของอาหารมีพลังชีวิต

• ชะลอวัย: อาหารมีพลังชีวิตมักมีสารอาหารสมบูรณ์เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเครียดและลดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพช้าลง

• เสริมภูมิคุ้มกัน: อาหารหมักดองและผักที่มีกากใยสูง ดูแลสุขภาพลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ตามธรรมชาติ

• พลังงานคงที่ อารมณ์ดีตลอดวัน: อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสีและถั่วดิบ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้มีพลังงานคงที่ตลอดทั้งวัน ลดอาการอารมณ์แปรปรวน

• เพิ่มสมาธิ: น้ำมันสกัดเย็น ถั่ว และ ธัญพืช มีไขมันดีบำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดี มีสมาธิ รักษา

• รักษาและล้างพิษ: สมุนไพรและเครื่องเทศหลากหลายชนิดมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บ ฟื้นฟูระบบภายใน และล้างพิษ รวมถึงช่วยปรับสมดุลอารมณ์

เลือกแบบนี้

ได้พลังชีวิตมากกว่า

แม้จะเป็นผัก ผลไม้สด หรือสมุนไพรเอง ก็ยังมีพลังชีวิตที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

1. การเจริญเติบโต

อาหารที่ปลูกแบบออร์แกนิก หรือ เติบโตเองตามธรรมชาติจะมีพลังชีวิตสูงกว่าอาหารที่ปลูกในระบบเกษตร

2. ระยะเวลาเก็บเกี่ยว

อาหารที่เพิ่งเก็บเกี่ยวสดใหม่จะมีพลังชีวิตสูงกว่าอาหารที่เก็บเกี่ยวไว้นานแล้ว

3. การแปรรูป

อาหารสดหรืออาหารที่ปรุงด้วยความร้อนต่ำจะคงพลังชีวิตไว้ได้มากกว่าอาหารที่ผ่านการแปรรูปสูง

3646e10-3ccb-dbd6-5db8-a5c4882ebbae_Untitled_design-14.jpg

ข้อควรระวัง

ของอาหารมีพลังชีวิต

แม้อาหารมีพลังชีวิตจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังบางอย่าง

• ย่อยยากสำหรับบางคน: สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ลำไส้แปรปรวน (IBS) จะย่อยอาหารดิบได้ยาก การปรุงด้วยไฟอ่อนๆ จะช่วยให้ย่อยง่ายขึ้นโดยที่ยังคงพลังชีวิตในอาหารไว้

• ความเสี่ยงเมื่อทานมากเกินไป: อาหารบางประเภท เช่น สาหร่ายทะเลและถั่วบางชนิด มีไอโอดีนและซีลีเนียมในปริมาณสูง ถ้าทานมากเกินไป จะทำให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม

• กระตุ้นการแพ้: อาหารหมักดองมักมีฮีสตามีน-สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน คนที่ไวต่อฮีสตามีนอาจมีอาการแพ้ เช่น ปวดศีรษะ คันผิวหนัง คัดจมูก ท้องอืด ควรสังเกตอาการหรือปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการแพ้ทันที

• ปนเปื้อนแบคทีเรีย: ของหมักดองและธัญพืชงอกที่ไม่สะอาด มีความเสี่ยงปนเปื้อนแบคทีเรีย เช่น อีโคไล ควรล้างและเตรียมอาหารให้สะอาดอยู่เสมอ

• นิ่วจากออกซาเลต: ผักใบเขียวบางชนิด เช่น ผักโขม มีออกซาเลตสูง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต ควรรับประทานหสลับกับผักใบเขียวที่มีออกซาเลตต่ำ เช่น คะน้า ผักกาดหอม หรือผักมีสีสันอื่นๆ รวมถึงลวกสุกบางส่วนเพื่อลดปริมาณออกซาเลต

ให้ทุกคำที่กินเต็มไปด้วยพลังชีวิต!

อย่าปล่อยให้การเลือกอาหารของเราหยุดอยู่ที่สารอาหาร แต่ให้เริ่มเลือกอาหารที่มีพลังชีวิตเพื่อฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ เติมเต็มพลังในทุกๆ คำที่เรากิน เพราะชีวิตที่ดีเริ่มจากการเลือกอาหารที่มีพลังชีวิตอย่างแท้จริง

ถ้าคุณหยุดฟังเสียงในใจได้มากขึ้น
และอยากฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปกับเรา

พื้นที่เงียบสงบสำหรับสร้างวัฒนธรรมภายใน
Latest POSTS